เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้งด้วย Google Analytics 4

ทำไมการวิเคราะห์เว็บไซต์ด้วย GA4 จึงสำคัญ?

ในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจต่างแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงใจลูกค้า การเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง Google Analytics 4 (GA4) เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์รุ่นใหม่ที่ทรงพลัง ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของลูกค้าได้อย่างละเอียดลออ ช่วยให้คุณตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Google Analytics 4 คืออะไร?

GA4 เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์และแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ที่พัฒนาโดย Google มาแทนที่ Universal Analytics โดยมีจุดเด่นคือ

  • มุมมองแบบ 360 องศา: GA4 ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ทำให้คุณเห็นภาพรวมของการเดินทางของลูกค้าได้อย่างชัดเจน
  • เน้นการวัดผลลัพธ์: GA4 ช่วยให้คุณวัดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวัดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ การแปลง และรายได้
  • รองรับ Machine Learning: GA4 ใช้เทคโนโลยี Machine Learning เพื่อทำนายพฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต ช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทำไมต้อง GA4?

  • เข้าใจ Customer Journey: ติดตามการเดินทางของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนจบธุรกรรม รู้ว่าลูกค้าสนใจอะไร คลิกที่อะไร และทำอะไรบ้างบนเว็บไซต์ของคุณ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: แก้ไขปัญหาที่ทำให้ลูกค้าออกจากเว็บไซต์ไป ปรับปรุงการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายขึ้น
  • เพิ่มยอดขาย: วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เพื่อนำไปปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและเพิ่มยอดขาย
  • วัดผลแคมเปญ: วัดผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาดต่างๆ เพื่อดูว่าแคมเปญใดได้ผลดีที่สุด
  • ทำนายพฤติกรรมในอนาคต: ใช้ข้อมูลที่ได้จาก GA4 เพื่อทำนายพฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต ช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ

  • เข้าใจลูกค้าของคุณอย่างลึกซึ้ง: รู้ว่าลูกค้าของคุณเป็นใคร มาจากไหน สนใจอะไร และต้องการอะไร
  • ปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น: เพิ่มอัตราการแปลง ลดอัตราการเด้ง และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
  • เพิ่มยอดขายและรายได้: ตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • แข่งขันได้ในตลาด: เข้าใจพฤติกรรมของคู่แข่งและปรับปรุงกลยุทธ์ของตนเองให้ดีขึ้น

เจาะลึกฟีเจอร์เด่นของ GA4 ที่ช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

1. เหตุการณ์ (Events):

  • ติดตามทุกการกระทำ: GA4 มองทุกการกระทำของผู้ใช้เป็น “เหตุการณ์” ไม่ว่าจะเป็นการคลิกปุ่ม การดูวิดีโอ หรือการซื้อสินค้า ทำให้คุณเห็นภาพรวมของการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ได้อย่างละเอียด
  • กำหนดเหตุการณ์เองได้: คุณสามารถกำหนดเหตุการณ์ที่สำคัญต่อธุรกิจของคุณเองได้ เช่น การสมัครรับข่าวสาร การดาวน์โหลดอีบุ๊ก หรือการเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมเฉพาะเจาะจงได้อย่างแม่นยำ

2. พารามิเตอร์ (Parameters):

  • เพิ่มรายละเอียดให้เหตุการณ์: พารามิเตอร์ช่วยให้คุณเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ เช่น ชื่อสินค้า ราคา หรือหมวดหมู่สินค้า ทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ละเอียดขึ้นและสร้างรายงานที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

3. การวิเคราะห์กลุ่มผู้ใช้ (Audience):

  • แบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรม: GA4 ช่วยให้คุณแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมต่างๆ เช่น ผู้ใช้ใหม่ ผู้ใช้ที่กลับมาซื้อซ้ำ ผู้ใช้ที่ทำการซื้อ หรือผู้ใช้ที่ละทิ้งตะกร้าสินค้า
  • สร้างกลุ่มผู้ใช้ที่กำหนดเอง: คุณสามารถสร้างกลุ่มผู้ใช้ที่กำหนดเองตามเกณฑ์ที่คุณต้องการ เช่น ผู้ใช้ที่เข้าชมหน้าผลิตภัณฑ์ A หรือผู้ใช้ที่ใช้เวลาบนเว็บไซต์มากกว่า 30 นาที

4. การทำนาย (Predictions):

  • คาดการณ์พฤติกรรมในอนาคต: GA4 ใช้ Machine Learning เพื่อทำนายพฤติกรรมของผู้ใช้ในอนาคต เช่น ผู้ใช้รายใดมีแนวโน้มที่จะทำการซื้อหรือผู้ใช้รายใดมีแนวโน้มที่จะเลิกใช้บริการ
  • ปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที: ด้วยข้อมูลการทำนาย คุณสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดของคุณได้ทันท่วงที เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและรักษาลูกค้า

5. การผสานรวมกับเครื่องมืออื่นๆ:

  • เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นๆ: GA4 สามารถผสานรวมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Ads, BigQuery, และ Looker เพื่อให้คุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
  • สร้างภาพรวมที่สมบูรณ์: การผสานรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของธุรกิจของคุณได้อย่างชัดเจน

ตัวอย่างการนำ GA4 ไปใช้จริง

E-commerce

วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้า เพื่อปรับปรุงหน้าผลิตภัณฑ์ เพิ่มยอดขาย และลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า

เว็บไซต์ข่าว

วิเคราะห์เนื้อหาที่ได้รับความนิยม เพื่อผลิตเนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

แอปพลิเคชัน

ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ในแอปพลิเคชัน เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน

สรุป

Google Analytics 4 เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง และนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในการปรับปรุงธุรกิจของคุณ หากคุณต้องการที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัล การเรียนรู้ที่จะใช้ GA4 เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด

SEO สำหรับ Content Marketing: สร้างเนื้อหาที่ทั้งโดนใจ Google และลูกค้า

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลล้นหลาม การสร้างเนื้อหาที่โดดเด่นและดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอ่านเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่การสร้างเนื้อหาที่ดีอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากเนื้อหาของคุณไม่มีใครค้นเจอ นั่นคือเหตุผลที่ SEO (Search Engine Optimization) และ Content Marketing ต้องทำงานร่วมกัน

SEO สำหรับ Content Marketing คืออะไร?

SEO สำหรับ Content Marketing หมายถึง การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน พร้อมทั้งปรับแต่งเนื้อหาให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อให้เนื้อหาของคุณติดอันดับค้นหาสูงๆ เมื่อผู้คนค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง

ทำไม SEO สำหรับ Content Marketing ถึงสำคัญ?

  • เพิ่มการมองเห็น: ทำให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
  • ดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย: ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: เนื้อหาที่มีคุณภาพและได้รับการจัดอันดับสูงใน Google จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ
  • เพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์: ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
  • เพิ่มโอกาสในการแปลง: ผู้ที่เข้ามาอ่านเนื้อหาของคุณมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าของคุณ

เคล็ดลับในการทำ SEO สำหรับ Content Marketing

  • วิเคราะห์คีย์เวิร์ด: ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณและมีปริมาณการค้นหาสูง
  • สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: เนื้อหาของคุณต้องเป็นประโยชน์ น่าสนใจ และตอบคำถามที่ผู้คนต้องการรู้
  • ปรับโครงสร้างเนื้อหา: ใช้หัวข้อ (Heading) และย่อหน้าที่สั้นและชัดเจน
  • ใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม: ใส่คีย์เวิร์ดใน Title Tag, Meta Description, หัวข้อ และเนื้อหา
  • สร้าง Backlink: สร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเนื้อหาของคุณ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: ทำให้การอ่านเนื้อหาของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายและเพลิดเพลิน
  • ติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเนื้อหาของคุณ

ตัวอย่าง: บล็อกเกี่ยวกับการทำอาหาร

หากคุณมีบล็อกเกี่ยวกับการทำอาหาร คุณอาจจะสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับ “เมนูอาหารกลางวันง่ายๆ” โดยใช้คีย์เวิร์ด เช่น “เมนูอาหารกลางวัน”, “อาหารกลางวันทำง่าย”, “เมนูอาหารกลางวันสุขภาพ” และใส่คีย์เวิร์ดเหล่านี้ใน Title Tag, Meta Description และเนื้อหา นอกจากนี้ คุณอาจจะเพิ่มภาพประกอบและวิดีโอประกอบเพื่อให้เนื้อหาน่าสนใจยิ่งขึ้น

สรุป

SEO สำหรับ Content Marketing เป็นการผสมผสานระหว่างการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและการปรับแต่งเนื้อหาให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา การทำ SEO สำหรับ Content Marketing จะช่วยให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมให้กับธุรกิจของคุณ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • อย่าลืม Mobile-First: ปรับเนื้อหาให้เหมาะสำหรับการอ่านบนมือถือ
  • สร้างความหลากหลาย: สร้างเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ เช่น บทความ, วิดีโอ, Infographic
  • สร้าง Community: สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่านผ่านช่องทางต่างๆ เช่น คอมเมนต์, โซเชียลมีเดีย
  • อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: สร้างเนื้อหาใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อรักษาความสนใจของผู้อ่าน

SEO สำหรับ Content Marketing คือการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ การสร้างเนื้อหาที่ทั้งโดนใจ Google และลูกค้า คือสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด

#SEO #ContentMarketing #DigitalMarketing

ต้องการให้ I-Comm Avenu ช่วย หรือมีคำถามอื่นๆ สามารถสอบถามได้เลยครับ

SEO ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! สูตรลับพาเว็บไซต์ติดอันดับ 1 ใน Google ภายใน 30 วัน

เหนื่อยไหมกับการที่เว็บไซต์ของคุณจมอยู่ก้น Google?

อยากให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ และดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาที่ธุรกิจของคุณใช่ไหม? ถ้าใช่ บทความนี้คือคำตอบของคุณ!

ทำไม SEO ถึงสำคัญ?

ก่อนที่เราจะไปถึงสูตรลับ ผมขออธิบายก่อนว่าทำไม SEO ถึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาของ Google เมื่อผู้คนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ นั่นหมายความว่ายิ่งเว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่ผู้คนจะเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นเท่านั้น

สูตรลับพาเว็บไซต์ติดอันดับ 1 ใน 30 วัน

(จริงๆ แล้วไม่ง่ายขนาดนั้น แต่เราจะทำให้มันง่ายที่สุด)

หมายเหตุ : ไม่มีสูตรลับใดที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ 1 ได้ภายใน 30 วันเสมอไป การทำ SEO ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ จะช่วยให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น

1. ทำความเข้าใจ Google Algorithm :

Google มีอัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการจัดอันดับเว็บไซต์ การทำความเข้าใจว่า Google ให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง เช่น เนื้อหาคุณภาพ Backlink และประสบการณ์ผู้ใช้ จะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้ตรงจุด

ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง เช่น Core Web Vitals, EAT (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness), หรือการค้นหาด้วยเสียง

2. ค้นหา Keyword ที่ใช่ :

Keyword คือคำที่ผู้คนใช้ค้นหาใน Google การเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและมีปริมาณการค้นหาสูง จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น

วิธีการค้นหา Keyword เช่น การใช้ Keyword Planner, Google Trends, หรือเครื่องมืออื่นๆ รวมถึงการเลือก Keyword ที่มีความเหมาะสมกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมาย

3. สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง :

เนื้อหาคือหัวใจสำคัญของ SEO เนื้อหาของคุณต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน มีความน่าเชื่อถือ และตอบคำถามที่ผู้คนต้องการรู้ เช่น เช่น บทความบล็อก, วิดีโอ, หรือ Infographic

4. ปรับปรุง On-Page SEO :

On-Page SEO คือการปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ เช่น Title Tag, Meta Description, Header Tag และการใช้ Keyword ในเนื้อหา

5. สร้าง Backlink คุณภาพ :

Backlink คือลิงก์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ การมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ

6. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ :

ผู้ใช้ต้องการเว็บไซต์ที่โหลดเร็วใช้งานง่าย และมีการออกแบบที่สวยงาม การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้จะช่วยให้ผู้ใช้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณนานขึ้นและกลับมาเยี่ยมชมอีก

7. ติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ :

การติดตามผลลัพธ์จะช่วยให้คุณทราบว่ากลยุทธ์ SEO ของคุณได้ผลหรือไม่ และคุณต้องปรับปรุงอะไรบ้าง

สรุป

SEO ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณมีความรู้และความเข้าใจในหลักการพื้นฐาน และลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คุณก็สามารถพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับต้นๆ ใน Google ได้

  • อย่าลืมว่า SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา: อย่าเพิ่งท้อแท้หากยังไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที
  • ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ SEO อยู่เสมอ: Google เปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมอยู่ตลอดเวลา การอัปเดตความรู้ของคุณจะช่วยให้คุณปรับตัวได้ทัน
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณไม่มั่นใจในความรู้เรื่อง SEO คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำ

#SEO #Google #เว็บไซต์ #ธุรกิจออนไลน์

SEO Services : คู่มือฉบับสมบูรณ์

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การมีเว็บไซต์ที่โดดเด่นบนหน้าผลการค้นหา (SERP) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย บริการ SEO (Search Engine Optimization) มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจของคุณบรรลุเป้าหมายนี้

SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา เช่น Google เป้าหมายหลักของ SEO คือเพื่อเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณบนหน้าผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ประโยชน์ของ SEO Services

การใช้บริการ SEO Services มีประโยชน์มากมายต่อธุรกิจของคุณ ดังนี้:

  • เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์: เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงบนหน้าผลการค้นหา ผู้ใช้จะเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น
  • เพิ่มยอดขาย: ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น หมายถึง โอกาสในการขายสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น
  • สร้างการรับรู้แบรนด์: การปรากฏตัวของเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณ
  • เข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย: SEO ช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่ค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง: ธุรกิจที่ใช้บริการ SEO มักมีอันดับเหนือคู่แข่งบนหน้าผลการค้นหา ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและดึงดูดลูกค้าได้มากกว่า

ประเภทของบริการ SEO Services Thailand

บริการ SEO Services มีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีจุดมุ่งหมายและวิธีการที่แตกต่างกัน ประเภทบริการ SEO ที่พบบ่อย ได้แก่:

  • On-page SEO: มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา
  • Off-page SEO: มุ่งเน้นไปที่การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ มายังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับเว็บไซต์
  • Technical SEO: มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดและความเสถียร
  • Local SEO: มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาท้องถิ่น
  • Content marketing: มุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เพื่อดึงดูดผู้ใช้และสร้างแบรนด์

การเลือกบริการ SEO Services ที่เหมาะสม

เมื่อคุณต้องการเลือกบริการ SEO Services สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

  • เป้าหมายทางธุรกิจ: คุณต้องการบรรลุอะไรจาก SEO? คุณต้องการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ ยอดขาย หรือสร้างการรับรู้แบรนด์?
  • งบประมาณ: บริการ SEO มีราคาแตกต่างกันไป คุณต้องกำหนดงบประมาณของคุณก่อนตัดสินใจเลือกบริการ
  • ประสบการณ์: เลือกบริษัท SEO ที่มีประสบการณ์และผลงานที่พิสูจน์ได้
  • ความเชี่ยวชาญ: เลือกบริษัท SEO ที่มีความเชี่ยวชาญในประเภทธุรกิจของคุณ
  • การสื่อสาร: เลือกบริษัท SEO ที่สามารถสื่อสารกับคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การติดตั้ง event tracking ใน GA4

การติดตั้ง event tracking ใน GA4 นั้นจะต้องใช้ Google Tag Manager (GTM) เพื่อสร้าง event และเชื่อมต่อกับ GA4 ได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นขั้นตอนการติดตั้ง event tracking ใน GA4 สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้:

1. สร้าง event ใน Google Tag Manager

เข้าไปที่ Google Tag Manager แล้วสร้าง event โดยกดที่ปุ่ม “New Tag” แล้วเลือกประเภทของ event ที่ต้องการสร้าง เช่น click, form submission, scroll หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสมกับเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันของคุณ

2. เพิ่ม event tracking code ลงในเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน

หลังจากสร้าง event เสร็จแล้ว ให้กดที่ปุ่ม “Save” เพื่อเซฟและเปิดใช้งาน event ใน Google Tag Manager จากนั้นคัดลอก event tracking code ที่ได้จาก Google Tag Manager แล้วนำมาวางในเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันของคุณ โดยเป็นการเพิ่ม code ในส่วนของ JavaScript ของเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน

3. เชื่อมต่อ event tracking code กับ GA4

(ต่อจากข้อ 2) เลือก event ที่ต้องการสร้างเพื่อเชื่อมต่อ แล้วกดปุ่ม “Continue” จากนั้นเลือก “Google Analytics : GA4 Event” แล้วกรอก parameter ต่างๆ ของ event ที่ต้องการสร้าง เช่น event name, event category, event label, event value และอื่นๆ จากนั้นเลือก “Trigger” และเลือก trigger ที่ต้องการใช้งาน เช่น click, form submission, scroll หรืออื่นๆ จากนั้นกดปุ่ม “Save” เพื่อเซฟและเปิดใช้งาน event ใน GA4

4. ตรวจสอบการติดตั้ง event tracking

หลังจากทำการติดตั้ง event tracking ใน GA4 เสร็จแล้ว ให้ทำการตรวจสอบว่า event ที่สร้างไว้สามารถเชื่อมต่อกับ GA4 ได้ถูกต้องหรือไม่ โดยเข้าไปที่ Google Analytics 4 แล้วเลือก “Realtime” แล้วเลือก “Events” จากนั้นดูในส่วนของ “Top events” หรือ “All events” ว่า event ที่สร้างไว้มีการ track หรือไม่ ถ้ามีการ track แสดงว่าการติดตั้ง event tracking ใน GA4 สำเร็จ

โดยสรุปแล้วการติดตั้ง event tracking ใน GA4 จะต้องใช้ Google Tag Manager และมีขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่การติดตั้ง event tracking นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพใน Google Analytics 4

Google Analytics 4 มีประโยชน์อย่างไร?

GA4 หรือ Google Analytics 4 เป็นเครื่องมือวัดและวิเคราะห์การใช้งานเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่มีความสามารถและประโยชน์มากมาย ดังนี้

วัดและวิเคราะห์ผู้ใช้งาน

ใช้ติดตามการเข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันและการใช้งานของผู้ใช้ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการตลาดและเพิ่มยอดขาย

วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน

สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เช่น การคลิกปุ่ม, การซื้อสินค้า, การสมัครสมาชิก ซึ่งช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้และสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในการตลาดได้

วิเคราะห์ผลการตลาด

ช่วยวิเคราะห์ผลในทางการตลาดของกิจการ รวมถึงการติดตามและวิเคราะห์การโฆษณาและการตลาดออนไลน์ เพื่อปรับปรุงแผนกการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานและสื่อสังคมออนไลน์

ช่วยวิเคราะห์การใช้งานและการแชร์บนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อปรับปรุงการตลาดและโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

ติดตามและวิเคราะห์การใช้งานทางโทรศัพท์มือถือ

ช่วยติดตามการใช้งานและการทำธุรกรรมบนแอปพลิเคชันที่ใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการตลาดและการขาย

เชื่อมต่อกับ Google Ads

GA4 สามารถเชื่อมต่อกับ Google Ads เพื่อวิเคราะห์ผลการโฆษณาและการตลาดออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับปรุงกิจกรรมตลาดและโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สร้างรายงานและการแจ้งเตือน

GA4 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างรายงานและการแจ้งเตือนเมื่อมีกิจกรรมที่สำคัญเกิดขึ้นบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เช่น การเข้าชมหน้าเว็บไซต์หน้าสินค้าที่ถูกลดราคา เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

สรุปได้ว่า

GA4 เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพในการตลาด ซึ่งช่วยให้กิจการสามารถปรับปรุงแผนกการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องต่อกลุ่มเป้าหมายของตนเองได้

เหตุผลที่ควรเลือกใช้ GCP

GCP (Google Cloud Platform) เป็นพื้นที่คลาวด์ที่ให้บริการโซลูชันการคำนวณและการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ โดยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความน่าเชื่อถือ นี่คือเหตุผลที่คนหลายๆ ใช้ GCP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของธุรกิจของพวกเขา

เหตุผลที่ควรใช้ GCP

เทคโนโลยีที่ทันสมัย

GCP มีเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการของพวกเขาได้ด้วยความเร็วและความสะดวก

มีความน่าเชื่อถือ

GCP มีความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากมีเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ และมีการสำรองข้อมูลที่มั่นคง

มีความยืดหยุ่น

GCP มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามความต้องการของผู้ใช้ โดยสามารถเลือกใช้บริการและแพลตฟอร์มต่างๆ ตามความต้องการของธุรกิจ

การจัดการและควบคุมงานอย่างมีประสิทธิภาพ

GCP มีเครื่องมือสำหรับการจัดการและควบคุมงานที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Google Cloud Console, Cloud Shell, Stackdriver ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและควบคุมงานของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย

รองรับภาษาและเทคโนโลยีที่หลากหลาย

GCP รองรับภาษาและเทคโนโลยีต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมถึงภาษา Python, Java, Ruby, Node.js, Go และอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันของพวกเขาได้อย่างหลากหลาย

ให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูง

GCP มีเทคโนโลยีการคำนวณและการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ

GCP มีราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่าสำหรับการใช้บริการคลาวด์ โดยให้ผู้ใช้เลือกใช้บริการตามความต้องการและปริมาณการใช้งานของพวกเขา

สนใจเกี่ยวกับบริการ GCP : Google Cloud Platform ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

GCP คืออะไร???

GCP คืออะไร

GCP ย่อมาจาก Google Cloud Platform เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ (cloud platform) ที่ให้บริการในหลายๆ ด้าน เช่น การเก็บข้อมูลและฐานข้อมูล, การประมวลผลแบบคลาวด์, การพัฒนาและการใช้งานแอปพลิเคชัน, การเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันของบริการต่างๆ และอื่นๆ โดย GCP เป็นส่วนหนึ่งของบริการคลาวด์ระดับโลก (global cloud service) ที่มีการจัดการโดย Google ซึ่งเป็นที่นิยมในการใช้งานโดยหลายๆ องค์กร โดย GCP นั้นสามารถใช้งานได้โดยทั่วไปผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมีโปรแกรมต่างๆ เช่น Compute Engine, BigQuery, Cloud Storage, Cloud AI Platform เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

ใน GCP ยังมีบริการอื่นๆ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจอีกมากมาย เช่น

Google Kubernetes Engine (GKE)

เป็นบริการจัดการ Kubernetes ในรูปแบบที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการและปรับแต่งระบบคลาวด์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Cloud Functions

เป็นบริการสำหรับสร้างและรันฟังก์ชันแบบ Serverless ที่เรียกใช้งานจากเหตุการณ์หรือการเรียก API ที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูง

Cloud SQL

เป็นบริการฐานข้อมูลแบบ Relation ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและมีความมั่นคงสูง สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย

Cloud CDN

เป็นบริการ Content Delivery Network ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการข้อมูลแก่ผู้ใช้งานในทุกภูมิภาคของโลก โดยใช้เทคโนโลยีการกระจายและจัดเก็บข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลถูกส่งมอบได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

Cloud Run

เป็นบริการสำหรับรันแอปพลิเคชันแบบ Serverless โดยเรียกใช้งานจาก Docker container โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักและติดตั้ง Kubernetes

BigQuery

เป็นบริการฐานข้อมูลแบบ Columnar ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลได้สูง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดึงข้อมูลมหาศาลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

Cloud Pub/Sub

เป็นบริการแบบเหตุการณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถส่งและรับข้อมูลจากแอปพลิเคชันต่างๆ โดยเป็นแบบแม่แบบ Pub/Sub ที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีประสิทธิภาพดี

Cloud Identity and Access Management (IAM)

เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ ใน GCP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การจัดการการเข้าถึงข้อมูลในระบบเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง

Cloud Machine Learning

เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างและเทรนโมเดล Machine Learning ได้อย่างง่ายดาย โดยมี API และตัวอย่างโค้ดต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจและนำไปใช้

Cloud Storage

เป็นบริการเก็บข้อมูลแบบ Object Storage ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้งานเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น รูปภาพ วิดีโอ ไฟล์เอกสาร และอื่นๆ

โดยบริการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเช่าและใช้งานทรัพยากรคอมพิวเตอร์และโปรแกรมต่างๆ โดยออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานและพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ โดยทั่วไป GCP นิยมใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บข้อมูลและการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งเป็นเพียงเล็กน้อยจากบริการที่มีอยู่ใน GCP ทั้งหมด

คุกกี้แบนเนอร์คือ? คำถามที่หลายๆ คนสงสัย

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคุกกี้แบนเนอร์ หรือที่เรียกกันว่า “Cookie Consent Banner” ซึ่งเราจะได้ยินกันมากในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องมาจากประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา

คุกกี้แบนเนอร์ หรือ Cookie Consent Banner คืออะไร??

คุกกี้ (Cookie) คือ ข้อมูลขนาดเล็กบนเว็บบราวเซอร์ หรือ แอพพลิเคชั่น เพื่อบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน เช่น อุปกรณ์, ภาษา, ตำแหน่ง หรือพฤติกรรมการใช้งานบนเว็บไซต์

Cookie Consent คือ การขอความยินยอมจากผู้ใช้งาน ในการใช้นำคุกกี้ไปใช้เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เป็นการเคารพสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครอบข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

สรุปแล้ว Cookie Consent Banner ก็คือแบนเนอร์ที่แสดงอยู่บนเว็บไซต์ หรือ แอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อแจ้งขอความยินยอมในการเก็บข้อมูลคุกกี้ของผู้ที่เข้ามาใช้งาน เพื่อจุดประสงค์ในการนำไปใช้งานต่างๆ

ทำไมทุกเว็บไซต์ต้องมี Cookie Banner??

เนื่องจากเว็บไซต์มักจะมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับนำไปใช้ในจุดประสงค์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น

  • Google Analytics เก็บข้อมูลผู้เข้าใจงานเว็บไซต์นำไปวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด
  • การจดจำ LOGIN เพื่อความสะดวกในการใช้งานครั้งต่อๆ ไป
  • การจดจำภาษาของเว็บไซต์ที่เราเข้าใช้งานเป็นประจำ

ซึ่งตัวอย่างข้างต้นเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน ในฐานะที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ จึงจำเป็นต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนใช้งานเว็บไซต์ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA : Personal Data Protection Act)
บังคับใช้ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA คือการขอความยินยอมในการนำข้อมูลไปใช้ โดยแจ้งวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บและการนำไปใช้ให้ชัดเจน

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (ฉบับเต็ม) คลิกที่นี่

Cookie Banner ที่ถูกต้องควรมีอะไรบ้าง

ปัจจุบันหลายๆ เว็บไซต์มีการติดตั้ง Cookie แล้ว ซึ่งแต่ละเว็บไซต์ก็จะมีความแตกต่างกันออกไป หากต้องการทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA ก็มีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ดังนี้

  • แจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บคุกกี้และการนำไปใช้
  • มีลิงค์สำหรับคลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดนโยบายการนำคุกกี้ไปใช้งาน
  • ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าคุกกี้ได้ พร้อมคำอธิบายและวัตถุประสงค์รายละเอียดในแต่ละส่วน
  • มีความยืดหยุ่นให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอด
  • เจ้าของเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่นมีการจัดเก็บ Cookie Consent Record

(ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างองค์ประกอบหลักๆ ที่ควรต้องมี)

Why GA4 setup is more difficult than UA?

Japanese website vs. Thailand website 2022 How to create successful website in Thailand?

3 Important Points Of Content Creation To Let Google Display At The Top Of Search Results

Have you ever experienced that your website does not appear on the top search engine even if you create content and upload it on the website? That is because the content is not written properly. The purpose of content articles posted on a website is to increase the ability of the site to attract customers, and ultimately to achieve results such as attracting prospects, increasing sales, and branding. Even if you launch a website with much effort, no one will access it just by launching it. If the website does not appear at the top of the search result page on Google, it will not be accessed and will not be known or lead to inquiries. This time, I would like to explain the points of how to write content that you should know in order to be displayed at the top of the search results.

Introduction

As of 2021, there are approximately 55 million Internet users in Thailand. Currently, Thailand has a population of about 70 million, so we know that 75% of the population uses the Internet every day. In addition, the number is increasing year by year, and it is predicted that the number will reach about 62 million by 2025.

As the number of Internet users is increasing, the most used Internet medium in Thailand is the Google search engine.

What this means is that on a daily basis, Internet users are looking for information that they want to search on Google. As a result, many companies create and post content on their websites that users may be looking for in an attempt to get them into their websites. By activating communication through the website, we can secure a route to inquiries and business negotiations.
To do so, Google must first display your website at the top of Google’s search page for users to access your page. Being displayed at the top of the search results means that the content is evaluated by Google.  The content must be useful to users as Google focuses on user experience as the business goal and Google aims to provide the best to users.

As I mentioned at the beginning, the purpose of the content posted on the website is to increase the ability to attract customers and ultimately lead to the acquisition of potential customers, inquiries, and contracts. Therefore, getting the user to access and for them to feel satisfied after reading it without leaving the page is very critical. In order to display it at the top of the search results, the key is how to effectively create content that can be read to the end.

This article has summarized the points of how to write high quality content, so it would be great if you could refer to it.

Things to keep in mind when creating content

The most important point to keep in mind when writing content is the “user’s perspective”.
This user perspective is one of the key factors that Google evaluates.

Focus on the user and all else will follow.
Google’s first rule in their “Ten Things” philosophy is to focus on the user before anything else. They state they have served more on users than Google’s internal goals and revenue.

※Source:Google 10 philosophy

Google also states the following:

Create pages that prioritize users’ experience rather than search engines.

※Source:Webmasters Guidelines (Quality Guidelines) – Search Console Help

According to the above statements by Google, creating content from the user’s perspective is an extremely important factor.
In order to create high-quality content with that in mind, the following three elements must be needed.

  1. Content details match with the user’s search intent
  2. Content is structured to make you want to read until the end
  3. Content is easy to understand for the users

It is important to write content that provides the information that users want, has an easy-to-read structure, and has easy-to-understand language and explanations.

We will explain each in detail.

1.Content details match with user’s search intent

What exactly is search intent? This is the user’s goal or intention when entering a keyword into Google search engine; why did you search by that keyword?, what do you want to know? If a keyword is usually searched for with the intention of finding out more about it, then this search must be informational.Same with me, users always have a goal or intention when they type keywords into search engines. In order to create content that can be read by the user, it is important to understand the “search intent = purpose” of this user.

For example, if the keyword that the user key is on a search engine is “improve access count”, we could assume this user may want to increase the number of visitors on their website. Moreover, if we try to dig deeper into why do users want to know?, we could assume that this user has a problem of gaining access numbers on their website and do not have the solutions to the problem, or they are already doing something to increase access numbers but not doing it properly and want to know how to improve. By understanding what the user really wants to know, we will naturally understand what kind of content should be included and what content satisfies the search intent.

It is also important to set goals for what actions you want users to take after reading the content. By setting goals and back-calculating what information should be included to meet those goals, it is possible to create content that is more user-satisfying.

Let me give you a concrete example.

Keyword: “improve website access”

User search intent (purpose):
“I want to increase the number of visitors to the site”

What users really want to know:
I already have a website but the number of accesses does not increase easily, so I would like to know the solution

User action (goal) after reading the content:
Example1 : Will try to do it based on the content
Example2 : I will consider outsourcing to the company

Content example that satisfies the search intent (purpose):

  • The current issue that the number of accesses does not increase
  • Provide solutions and ways to increase the number of accesses

Content example that guides user action (goal) after reading the content:

  • Procedures and methods to be practiced
  • Approach your company’s strengths
  • Lead them to inquiries, etc.

In this way, it is possible to embody the information and content to be conveyed by deeply grasping the search intention and setting goals as to what kind of consciousness the user wants to have after reading the content.

2.Content is structured to make you want to read until the end

The purpose of SEO content creation is to raise awareness of your company’s products, services and brands, and to make inquiries to prospective customers, which ultimately leads to contracts. Therefore, it is important how you structure the content to indicate users to read until the end without leaving the page. First, let’s look at the composition of the entire content.

Title

The title is the biggest factor in deciding whether a user will read or not read the article.

Title should be:

  • Able to understand “what you can get” and “what you can solve”
  • Able to imagine the contents at a glance
  • Able to attract interest

This is because even when the content displayed on Google’s search result, user might not click and see your content as it’s judged as not interesting.That is why choose a title that users feel “this content is for me. I should read it”

The following examples would be a good attention grabbing title:

  • 5 points of xxx
  • Three reasons that xxx
  • 20 years of professional states xxx
  • How to increase 40% for xxx
  • 6 items you want to check about xxx
  • Eight elements to be aware of xxx

Introductory sentence

Like the title, the introductory sentence is an important factor in deciding to read the content. The purpose is to write an introductory sentence that attracts users and tells them that “there is useful information as you read on.” To do this, it is important that the wording is used to guide the text to satisfy the user’s search intent. You can write an easy-to-understand introductory sentence if you are aware of how you can solve the search intent (purpose) (content that satisfies the search intent).

In fact, the introductory sentence of this content article that I’m writing says, “Many people who create content are not writing it properly.” I have written this sentence to grab attention and interest from the readers so the reader will feel “OH! How so? Am i not writing it correctly? What should I do differently?”

The fact that the user does not leave the page in the middle of the page and reads it firmly to the end means they are satisfied, and the user’s evaluation increases. As the user’s evaluation goes up, Google will judge it as “useful information for the user” and display it at the top page of the search results.

Actual content

Obviously, the text is a part that greatly affects user satisfaction. You should also try to include content related to the title in the text. Users who visit the page because they expect the content to be related to their keyword that they key in to the search engine. At this time, even if you click on a title that matches your search intention and visit it, if the actual content does not match the title, the user will feel disappointed and will leave without satisfaction. The value to the user is determined by how credible the content that matches the search intent can be sympathized with the user.
As a result, it will be evaluated by Google and will be easily displayed at the top of the search.

Ways to increase credibility include describing specific data, introducing use cases, quoting words from experts and famous official websites, and introducing both advantages and disadvantages.

Below are the bad and good examples when creating the actual content details:

  • Bad example: The most implemented solutions in Thailand
  • Good example: A solution that improves operational efficiency by an average of 40% after implementation in Thailand
  • Bad example: Very popular products and services
  • Good example: We have a track record of being implemented by more than 100 Japanese companies in Thailand

When you see the good examples, it can be stated that by writing the specific numbers in the details, it could increase the credibility of the actual content. Also by including not only general information but also one’s unique ideas or opinions, company’s strengths and appeal points that are different from other companies, content originality will be enhanced and could increase credibility that will lead to content efficiency.
In addition, it may be difficult to convey the content by just text alone, it is kind to the users to compose with some images, graphs, and charts. By visualizing the content, users’ understanding will be deepened and it will lead to satisfaction.

Summary

Summary content is a very important part as a sentence that reviews the entire article and guides the users to the next action. By including words such as “Please contact us directly” at the end of the article after introducing your company’s products or services, you can encourage the user’s behaviours and actions to the next step.

3.Content is easy to understand for the users

What is often neglected when creating content is whether it is written “easily” for the users to understand. For this, it is important to be aware for the below 2 elements.

Content matches the literacy level of users

When the writers who are familiar with their services and products create the content, they tend to use “terminology terms” such as technical terms and industry terms, which often gives the impression that it is difficult for the users to read. This kind of hard-to-read content causes users to leave the page and affects their evaluation criteria with Google.
However, it is not always the case. It is very important to know who you are delivering the content to, and grasping the literacy level of the target users, so the usage of terminology terms could be adjusted depending on the target audience. For example, in the case of “digital marketing”, when creating content for the users who are in this field, it is not necessary to avoid any difficult terms so much, compared to the users completely different fields. As from our experience, many clients who are mostly not in the digital marketing industry, often question “what is digital?” so it is necessary to explain what digital marketing is as a start. In that case, we can compose the word “digital marketing” for a better understandable phrase. By setting the target and assuming the users literacy, you should be able to see how you can write the content using preferable words and phrases.

Content is easy to read

Article that is not read until the end could conclude it is not a very good content. Users tend to wander around search engines and sites for useful information that they are looking for, so if the details in the article were considered not related, they will exit the page immediately. To solve this problem from happening, the PREP method is the most highly evaluated method for structuring the content.

Point:Conclusion is xxx
Reason (Supporting the point):Because~ xxx
Example(case studies or actual problems):For example、xxx
Point(conclusion/summary):Therefore, it is concluded that xxxx

Here is an example of using the PREP method for structuring.

Keyword topic example:「Digital Marketing」

Point ”Digital marketing has become very important in Thailand, where face-to-face sales are restricted due to the influence of COVID-19.”
Reason ”This is because the number of corporate personnel who collect information online is increasing, and the number of cases where inquiries through the website lead to business negotiations without visiting directly is increasing.”
Example “For example, xxx has been the most issues and problems that many companies in Thailand are facing.“
Point ”Therefore, digital marketing is very important.”

Keyword topic example:「Production Management System (solution)」

Point”In the Thai manufacturing industry, where improving operational efficiency is an urgent issue, digitization such as the introduction of production management systems is progressing.”
Reason”The reason is that by utilizing the production control system, the production process can be visualized and it will lead to the elimination of personalization.“
Example”For example in Thailand recently, xxxx has been the most issues that causing the problem of xxxx”
Point”Therefore, digitization such as the introduction of production management systems is important.”

In this way, if you come to the conclusion of what you want to convey first, and if the content that supports are written, you can create very easy-to-read content that is easy for the user to understand.

Summary

This time, I explained three points of how to write content that you should know in order to be displayed at the top of the search results by Google.

  1. Does it match the user’s search intent?
  2. Is it structured to make users want to read on?
  3. Is it made easy to understand?

The key to creating good content is to always remember the “user’s perspective.” This user perspective is an important factor in Google’s evaluation, as Google’s primary goal is to provide useful information to users in search results. If you create content with the user’s perspective in mind, it will be evaluated by Google and will be displayed at the top of the search results.
If the site is displayed at the top of the search results, we believe that it will eventually lead to an increase in the number of site visits and inquiries.
I would be grateful if you could refer to the contents introduced this time.

If you have any problems such as launching websites in Thailand, Malaysia, or Asian countries, but the number of accesses does not increase, or you do not get inquiries, we recommend that you start content SEO. We also provide consultation on content proposals from keyword analysis, which is important for starting content SEO, and support digital marketing in Thailand, Malaysia, and Asian countries. First of all, if you have any concerns about the current situation, please feel free to contact us!